มอเตอร์ไซต์สีแดง แล่นออกจากที่พัก ลงเนินเพื่อมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองปาย รอบตัวมีแต่หมอกหนา ผมไม่สามารถมองเห็นทางที่เกินระยะ 2 เมตรข้างหน้าได้เลย ผมเลยตัดสินใจขับช้าๆ เผื่อมีรถสวนจะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ สักพักเราก็มาถึง ร้าน Don'cry ที่ตอนนี้นอนหลับสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางหมอกสีขาว ยามเช้าของเมืองปาย
" มีน จะไปไหนอะ " นุ้ยถามผม เธอเกาะไหล่ผมไว้ อากาศหนาวของเช้าวันนี้ รุนแรงมากกว่าเมื่อคืน
" ไปดูทะเลหมอกไง " ผมบอกเธอ มุ่งหน้าผ่านตัวเมืองปาย ซึ่งเช้านี้ดูเงียบเหงา เพราะอากาศหนาว ร้านค้าต่างๆ พอมีเปิดบ้างแล้ว แต่ก็น้อยมากๆ ที่เห็นก็จะมีร้านหมูปิ้ง ซึ่งควันตลบตบตีกับหมอกที่ลงจางๆ กลายเป็นว่า หมอกแถวนี้ หอมมาก น่ากินเชียว เราขับผ่านไปรษณีย์ปายมาแล้ว เลี้ยวขวาตามเส้นทางเดิม เพื่อมุ่งหน้าไปยัง Coffee in love
เราฟ่าความหนาวจัดจากที่ราบด้านล่าง ขึ้นมา จะเข้าสู่ชั้นที่ 2 ที่เป็นเนิน ระดับเดียวกับหมอกเมฆ เราจะต้องขับรถฟ่าหมอกหนา อากาศชื้น ที่บริเวณความสูงเท่านี้ๆ เราจะเห็นชาวบ้านก่อกองไฟใหญ่ๆ ริมถนน แล้วยืนผิงไฟรอรถ บางคนคงต้องเข้าเมืองเช้านี้ ตอนนี้เส้นผมของเรา เริ่มเปียก จากไอน้ำค้าง บริมาณมาก ที่เราวิ่งผ่านมา หยดน้ำเม็ดโตๆ ปลิวใส่หน้าผม ซึ่งหยดน้ำพวกนี้ เกาะที่หน้ามอเตอร์ไซต์ แล้วไหลมาใส่ผมอีกที พอเราขับรถผ่านช่วงความสูงระดับเดียวกับเมฆตรงนี้ไปได้ ก็จะกลายเป็นแบบที่สาม
แบบที่ 3 ที่ว่านี้ เราจะทะลุเมฆออกมาแล้ว แสงแดดจากพระอาทิตย์ แผดแสง ปล่อยความร้อนออกมาเต็มที่ จากที่เปียกๆ อยู่ ก็กลับ มาร้อนจ้า ทันที อากาศชื้น เมื่อตะกี้ก็หายไปหมด เหลือเพียงแสงแดดจ้า และพื้นถนน ก็แห้งกริบ ผมอัศจรรย์กับความรู้สึกนี้มากทีเดียว 3 ฤดู ใน ไม่กี่นาที
บรรยากาศ แบบนี้เราเจอได้เรื่อยๆ นะครับ เพราะถนนของปาย จะขึ้นมารับพระอาทิตย์ แล้วก็ลงเนินไปเปียกชื้น ลงต่ำไปอีก เพื่อให้เราหนาวจากน้ำที่เพิ่งเปียกมา แล้วถนนก็มุ่งขึ้นเขา กลับมาชื้น แล้วก็กลับมาแห้งและร้อนอีก ใครที่สภาพร่างกายไม่แข็งแรง ผมว่ามีสิทธิ์ช็อคกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ง่ายๆเลย
เรา ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ อยู่สัก 3 รอบ ก็จะมาถึง Coffee in love ซึ่่งตรงกับที่ผมคาดไว้แฮะ จุดที่ร้านตั้งอยู่ มันเป็นจุดที่อยู่เหนือความสูงของชั้นเมฆ พระอาทิตย์กำลังเปล่งแสงเต็มที่ แต่เรายังมาทัน
" สวยจัง " นุ้ยบอก หลังจากที่ผมจอดรถที่หน้าร้าน
เวิ้งกว้างที่เมื่อวานเป็นอ้อมกอดของหุบเขา ในเวลานี้ เป็นทะเลหมอกกว้าง อาจจะไม่สูงมาก เท่าจุดชมวิวอื่นๆ แต่สำหรับคนขี้เกียจนอนตื่นสาย = =! ผมว่า ผมก็แก้ตัวกับเธอได้ดี ในระดับนึงหละน่าา
" ยังหนาวอยู่เลย " ผมบอกนุ้ย ล็อคคอรถ แล้วเดินตามลงไป
" ถ่ายรูปกัน ไม่มีคนเลย " นุ้ยบอกผม
"จร้าๆ " ผมรับคำ แล้วหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า
อากาศดีชะมัด ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แสงแดด ที่กำลังทอประกาย ไม่จัดนักสำหรับบริเวณนี้ ดอกไม้และต้นไม้ ก็เหมือน นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ เต็มไปด้วยน้ำค้าง และ !!!
" นุ้ยๆ มาดูนี่สิ " ผมบอกแล้วชี้ ให้เธอมาดู
" โอโห ! " นุ้ยร้องออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันผมก็เพิ่งสังเกตตัวเองว่า ที่นี่เวลาเราพูด ควันก็ออกปากเหมือนกัน
" นุ้ยมาถ่ายรูปกัน เอารูปควันออกปากนะ " ผมบอกเธอ
ซึ่งเธอก็พยายาม เป่าอยู่หลายรอบ ไม่มีควันเลย มีก็จางๆ ม๊ากกกก
" โอย ไม่ได้สักทีอะ " นุ้ยบอก รับกล้องไปถือ
" ไม่ได้ไม่เลิก !!! " ผมบอกจ้องหน้าเธอ
" เอาดิ !! " นุ้ยรับคำท้า
สรุปว่ารูปผมชัดสุดละ ยัยตัวแสบพ่นออกมาไม่เคยจะมีควันเลย เราเก็บภาพบรรยากาศ อีกนิด ก่อน
จะออกเดินทางต่อ เป้าหมายต่อไปสะพานท่าปาย
รถเคลื่อนผ่าน ถนนสามฤดูอีกครั้ง ครั้งที่แล้วผมมัวทำตัวเหม่อลอย เลยไม่ได้ดูว่า มีไร่สตอเบอรี่ สวยๆ ไร่ใหญ่ๆ อยู่ข้างทาง ซ้ายมือด้วย
" แวะกันมั้ย " ผมชะลอรถ ชิดซ้ายให้ พี่ปิ๊กอัพคันหลังแซงไป แล้วหันมาถามเธอ
" แวะดีมั้ยอะ " นุ้ยถามคืน คราวนี้ไม่เอาไหล่มาเกย สงสัยกลัวเปียก -*-
" งั้นแวะ เพราะเมื่อวานก็ไม่ได้เรื่อง " ผมบอกเธอเชิงบังคับ แล้วเลี้ยวรถเข้าไปที่ไร่
ไร่สตอเบอรี่ " มนตรี การ์เด้น " อยู่ที่ความสูงระดับที่ 2 ก็คือระดับเดียวกับเมฆ เพราะฉันนั้นที่นี่อากาศชื้น และหมอกลงหนาจัด ร้านค้าของไร่เพิ่งเตรียมตัวเปิดให้บริการ พนักงานสาว 2 คน กำลังเตรียมร้านอย่างแข็งขัน เราเลยตัดสินใจ เดินไปที่ไร่ก่อน เก็บรูปสวยๆ สักเปป ก็น่าจะออกมาพอดีร้านเปิด
ตัวไร่สตอเบอรี่เอง สวยมากเลย ตอนนี้สตอเบอรี่กำลังติดผลน้อยๆ เต็มไปหมด พวกที่แดงเต็มที่แล้ว กำลังถูกคนงานเก็บอยู่ที่ท้ายไร่ ส่วนหัวไร่ที่เก็บไปหมดแล้ว เปิดให้เดินเดินเข้าไปถ่ายรูปได้ ถ้าเราไม่กลัวเลอะนะ เพราะความแฉะจุดนี้ มีสูงมาก
สตอเบอรรี่ถูกปลูกตรงเนินเขาพอดี ดูลดหลั่นสวยงาม อาคารเพียง 1 เดียวของไร่ สามารถขึ้นไปเพื่อมองทิวทัศน์โดยรอบ มีสวนดอกทานตะวัน ที่รู้เวลาว่าตอนนี้เช้าแล้ว แย้มบาน เต็มที่ แม้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาไม่ถึง
" มีน " นุ้ยเรียกผม ที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ
" ขา ทำไมอ่อ ^ ^ " ผมตอบแล้วเดินมาหาเธอ
" ไปกินน้ำสตอเบอรี่ปั่นกัน " นุ้ยบอก มองหน้าผมแล้วอมยิ้ม
" ห๊ะ !! อ่อๆ ก็ได้คะ " ผมตอบ อากาศหนาวชื้นขนาดนี้ การกินสตอเบอรรี่ปั่น ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ๆ แต่ก็นะ นานๆมาที ไม่อยากขัดใจเท่าไหร่
น้ำสตอเบอรี่ปั่น ของที่นี่ ก็เอาผลสตอเบอรี่ สดๆ ที่เพิ่งเก็บมาเมื่อกี้นั้นแหละ คนเก็บก็เอาใส่กระบุงมาวางให้ พนักงานสาว 2 คน แล้วเริ่มเปิดร้าน... หื้ม เห็นแบบนี้ ผมก็เข้าใจหละว่าทำไมหมีขาว ถึงได้อยากลองกินสตอเบอรี่ปั่นขึ้นมา มันดูสด แล้วก็น่ากินมากๆ สตอเบอรี่สีแดง ตัดกับขั้วและใบสีเขียว ลูกโตๆ รวมไว้ในกระบุงเปนพวง ผมเองยังอยากลองกินเลย ..
" มีนเอามั้ย " นุ้ยถาม เธอมองสตอเบอรี่เหมือนว่า ถ้าพนักงานเผลอ จะแอบหยิบมาชิมสักลุก
" ไม่เอาดีกว่า นุ้ยกินไม่หมดหรอก อากาศหนาวๆ แบบนี้ " ผมบอกเธอ
" หื๊ม !! อย่ามาแย่งกินก็แล้วกัน " นุ้ยบอกแล้วหันไปสั่ง พนักงาน
เท่าที่แอบมอง ส่วนผสมก็มี น้ำเชื่อม สตอเบอรี่สด ล้าง แล้วหั่น น้ำแข็ง และนมข้นนิสสเดียว
" อร่อย ~ " นุ้ยบอก
" ไม่หนาว หรออ... " ผมบอก ตามองแก้ว เป็นเชิงขอลองชิม
" ไม่ให้กินหร๊อก ~ " นุ้ยบอกกวนๆ แล้วหันหลังให้
" ชิ !! ไม่กินก็ได้ " ผมบอกหันหลังให้บ้าง
" อะๆ โอ๋ๆ หันหน้ามาสิ หันมาๆ " นุ้ยบอก แล้วจับแขนผม
ผมหันกลับไป เจอกับ หมีน้อยตัวร้าย ที่มองผมตาแบ๋ว เธอยกแก้วน้ำปั่นในมือให้สูงขึ้น อีกมือนึง หยิบหลอด ยื่นให้ผม เป็นเชิงป้อน
ผมก้มหน้าลงไปดูดน้ำในหลอด แต่สายตามองเธอ รสชาติของน้ำสตอเบอรี่ปั่น ไม่หวานมาก ติดเปรี้ยวนิดๆ แต่ที่เด่นเลยคือความหอม ห็อมมม...หอม ถ้าไม่สด ก็คงจะไม่หอมขนาดนี้
นุ้ยเปลี่ยนเป็นหน้าอมยิ้มหน่อยๆ ผมเขิลอีกแล้ว ให้ตายสิ แถมผมนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ ว่าถ้าเธอรู้ว่าผมแอบหอมแก้มเธอ... เธอจะว่าอะไรไหมนะ >///////<
" อร่อยมั้ย " นุ้ยถาม
" มากๆเลยหละ " ผมยิ้ม บอกเธอ แล้วหลบสายตา หลบไปก็พอดีเห็น สตอเบอรี่ลูกจิ๋ว ก็เลยแกล้งเดินไปถ่ายรูป แก้เขิล
นุ้ยน่ารัก น่ารักทุกนาที ที่ได้อยู่ใกล้ๆเลย อากาศหนาว แค่ไหนก็ตามเหอะ แต่ผมกำลังจะละลายแล้วเนี่ยะ = = ! เฮ้ออ
.....................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น