วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

บันทึกถึงเมือง ปาย ตอนที่ 22

    ผม ขับรถออกจากที่จอดรถของจุดชมวิวหยุนไหล  มวลความสุข ของการเล่นจ้องตาเมื่อสักครู่นี้ยังไม่จางหายไป กำลังยิ้มกริ่มในใจเลย  กลับรถมาเจอทางลง เท่านั้นแหละ !!!
    ไอตอนขึ้นเราก็ว่ามันวิบาก  น่าเสียวไส้ กลัวนุ้ยร่วง ต่างๆ นาๆ เจอขาลงเข้าไป คูณ 4 ไปเลยครับ  มอเตอร์ไซต์ ดิ่งลง เหมือนขับลงเหว  การแตะเบรคนี่ ห้ามมากไป ห้ามน้อยไป  เพราะถ้าน้อยไป รถไหลลงเขาเร็วมาก  มีหวัง แหกไปชนต้นไม้ ไม่ก็ล้มคว่ำอยู่ข้างล่าง  หรือถ้ามากไป ล้อก็จะตาย พอล้อตาย + พิ้นดินแดง  คราวนี้ ลื่นแน่ ซึ่งผลลัพธ์ของการลื่น นี่ไม่ต่างกันเลย

  ผมค่อยๆ ไต่ลงมาจากทางเขา ด้วยความเร็วพอประมาณ  พอลงมาถึงทางราบแล้ว ก็ขอจอดพักหายใจ เปปนึง  เพื่อหยุดความเร็วรถด้วย  ไม่งั้นพุ่งลงมา เจอหินต่อ คว่ำชัวร์



  เราออกรถช้าๆ ผ่านทางลูกรัง กลับเข้าสู่เขตชุมชน รถแล่นผ่านทางปูน ที่ค่อยๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงศูนย์ วัฒนธรรมจีนยูนาน ตอนนี้มีรถตู้ของนักท่องเที่ยวมาจอดหลายคัน  มองเห็นหลายๆคน กำลังนั่งกินอาหารในร้านอยู่ด้วย  ผมคิดถึงความรู้สึกตอนกิน แล้วก็อดยิ้มไม่ได้  ขอให้พวกเค้ามีความสุขกับการกินเช่นเดียวกันนะ

  ขับต่ออีก เปปเดียว  อย่างที่หลายๆ คนบอกว่า ขากลับมักไว ขาไปมักช้า  เราก็จะมาถึง วัดน้ำฮู เราขับรถเข้ามาในรั้วของวัดได้เลย  พอเข้ามาแล้วก็จอดรถตรงข้างๆ รั้วนั้นแหละครับ



  สิ่งที่แรกที่จะสะดุดตาเลยก็คือ  สระน้ำขนาดกลางๆ ที่มีศาลา อยู่กลางน้ำ  ในสระน้ำมีบัวหลวงอวดสีชมพูสดอยู่  ใบขนาดใหญ่ ปกคลุมบางส่วนของผิวน้ำ  ดูคล้ายภาพวาดไทยสมัยเก่า  ที่มีเรือนทรงไทยล้านนา กลางสระบัวสวย

  เมื่อเช้าที่เราผ่าน ยังไม่ค่อย มีคน แต่ตอนนี้ เริ่มมีนักท่องเที่ยวหนาตาแล้ว ส่วนใหญ่ที่เห็นจะหน้าตาออกไปทางโซนเอเซีย จีนๆ ญี่ปุ่น แนวๆ นี่นะ  หื้ม.... ก็ไม่แปลกหรอก พวกเราชาวพุทธก็มักแวะเที่ยวตามวัดด้วย เพื่อกราบไหว้เสริมศิริมงคล



  แปลกที่นักท่องเที่ยว ก็หนาตา แต่เรากลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเงียบสงบ  อาจเพราะอย่างแรกเลย คือชาวต่างชาติ นั้นให้ความเคารพสถานที่กับค่อนข้างมาก เวลาเข้าไปตามวัดวาอาราม ก็มักสงบจิตสงบใจ  ต่างกับชาวไทยพอสมควร ( เอ๊ะ !!  พูดเหมือนตัวเองไม่ใช่คนไทย )  ที่วัด ไม่ได้มี มัคทายก คอยพูดออกไมค์ เชิญชวนให้ญาติโยมทำบุญ  ไม่ได้มีเพลงลูกทุ่งเปิด คลอเคลีย เหมือนบางแห่ง  เพราะฉะนั้น บรรยากาศจึงเงียบ  สงบ  ได้ยินเสียงนกร้องชัดเจน  เสียงลมหวิวมาไกลๆ แต่นำพาอากาศหนาวเย็นสบาย  ที่นี้เหมาะจริงๆ หากใครอยากจะหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง มานั่งพัก อ่านหนังสือเงียบๆ  หรือจะมานั่งสมาธิ ก็ดูเข้าท่าดี

" เฮ้อออออออออ.. ~ "  นุ้ยปล่อยลมหายใจ ยาวๆ  ออกมา หลังจากเดินเข้ามาในบริเวณวัดแล้ว

" สบายใจดี ใช่มั้ย ? "  ผมถามเธอ

" อื้ม.... เจอแบบนี้แล้ว อย่างนั่งพักนิ่งๆ ซักหน่อย "  นุ้ยบอก เดินไปทางสระน้ำ

" คิดว่าจะร้อน ซะอีก " ผมแซวเธอ แล้วเดินไปข้างๆ

" ไม่ร้อนหรอก  อากาศออกจะเย็น "  นุ้ยตอบ... จากที่ดูเธอคงไม่เข้าใจมุขผมหรอก

  ผมกำลังยืนชมวิวรอบๆ  วัดน้ำฮูนี่แค่ยืนเฉยๆก็สบายใจแล้ว นักท่องเที่ยวสองสามคน กำลังไปซื้อดอกไม้ ธูปเทียน จาก แม่ค้าคุณป้า 2 คน  ที่บริเวณซ้ายมือของโบสถ์  ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ก็กำลังออกจากโบสถ์เพื่อกลับไปที่รถตู้    เรารอจนคนเริ่มซาลง  แล้วจึง เดินไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนบ้าง



" ดอกไม้ธูปเทียน ขายยังไงครับ "  ผมถามคุณป้า

" หยิบเลยจ๊ะลูก  แล้วก็ทำบุญ แล้วแต่ศรัทธา "  ป้าบอกแล้วก็ชี้ไปที่ตู้รับบริจาค

" อ่อ ครับผม  ขอบคุณครับ "  บอกแล้วแล้วหยิบดอกดาวเรืองมา 2 ดอก กับ ธูปเทียน 2 ชุด

   กว่าเราจะเอาดอกไม้ธูปเทียน แล้วเดินไปที่โบสถ์ นักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้ายก็ กลับออกมากันแล้ว  ทำให้ตอนนี้ โบสถ์เงียบสงบ และไม่มีใครเลย ด้านหลังโบสถ์จะมีเจดีย์สีทอง ที่ตามตำนานเล่าว่า บรรจุพระเกศาของสมเด็จพระสุพรรณกัลยา
  ภายในตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา  ด้านในเป็นเหมือนโบสถ์สมัยโบราณ อากาศเย็นเฉียบจากปูนที่ดูดซับอากาศหนาวภายนอกมาไว้ภายใน มีที่ว่างตรงกลาง เพื่อให้พระภิกษุมาทำวัตร



 ขออ้างอิงข้อมูล หน่อยนะครับ  พระประทานของที่นี่คือ หลวงพ่ออุ่นเมือง อยู่คู่กับวัดน้ำฮูที่ทุกคนสักการะนับถือเป็นพระพุทธรูปสิงห์สาม ปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 24นิ้ว สูง 30นิ้ว ส่วนพระเศียรกลวงมีพระเมาฬีครอบ
 
   ซึ่ง องค์ของ "หลวงพ่ออุ่นเมือง” นั้นมีลักษณะอันเป็นคุณสมบัติที่แปลกกว่าพระพุทธรูปทั่วไป ประการหนึ่งคือ พระเศียรส่วนบนกลวง พระโมฬีสามารถเปิดออกได้ และภายในจะมีน้ำขังอยู่ โดยน้ำจะซึมออกมาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสาเหตุของการที่น้ำซึมขึ้นมานั้น ไม่มีใครทราบแน่ชัด มีผู้สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากวัสดุที่ใช้ทำพระพุทธรูปก็เป็นได้




  กลับมาที่ เรา 2 คน อีกที ตอนนี้เรากำลังจุดธูปเทียน ไว้หลวงพ่ออุ่นเมือง ซึ่งประวัติคร่าวๆ ที่ว่าในองค์พระ มีน้ำซึมตลอดเวลา ผมพอทราบมาบ้างแล้ว พอเราไหว้หลวงพ่อเสร็จ ผมก็เดินไป ด่อมๆ มองๆ บริเวณหู ขององค์พระดู ก็เห็นมีเหมือนรอยน้ำซึมอยู่จริงๆ  (ภายหลังจากกลับมาแล้ว ผมจึงทราบว่าจะมีการตักน้ำออกจาก องค์พระทุก 10 วัน และน้ำที่มีก็น้อยมากๆ ทำให้ผมตกใจมากเลย  ไปครั้งหน้าเลยตั้งใจจะไปกราบหลวงพ่ออุ่นเมืองอีกครั้ง 
) แต่ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ [เท่าที่จะเข้าไปได้] แค่คนเดียว ก็เลยไม่ได้บอกนุ้ยเรื่องนี้

" ไปศาลากลางน้ำกัน " นุ้ยชวนผม  ตอนนี้เรากำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าโบสถ์

" อื้ม ปะสิ " ผมตอบ แล้วเราก็เดินไปด้วยกัน

   ศาลากลางน้ำนี่  คนพื้นที่จะเรียกว่า " ศาลาปลา " เป็นศาลาไม้ทรงไทยล้านนา สร้างไว้เพื่อให้กราบไหว้สมเด็จพระสุพรรณกัลยา และพระนเรศวร ประวัตินั้นค่อนข้างจะยาว และเกี่ยวเนื่องกับการสร้างวัดนี้ด้วย  ใครสนใจจะอ่าน แนะนำให้เข้าไปที่ห้องสมุดโลก อย่าง Google ได้เลยครับ





  หลังจากที่เราไหว้ สักการะ 
สมเด็จพระสุพรรณกัลยา และพระนเรศวร แล้ว เรากำลังจะกลับไปยังรถของเรา  พอดีผมคิดอะไรขึ้นมาได้  ว่าตอนนี้แหละมั่ง ที่ควรจะให้มันมากที่สุด

" นุ้ย " ผมเรียกนุ้ย  ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่รอบนอกของศาลาปลา

" หื้ม.. " นุ้ยหันมาทำหน้าสงสัย

" เอานี่ติดตัวไว้สิ "  ผมบอกนุ้ย ตอนนี้เรายืนอยู่เหมือนเชิงระเบียง ริมสระบัว

ผมยื่น ติ้วมรกต รูปกระต่าย ให้เธอ..

" ให้นุ้ยหรอ "  นุ้ยถาม แล้วมองหน้าผม

" อื้มใช่  มรกตเอาไว้ปัดเป่าเรื่องไม่ดี มีนขอพรหลวงพ่อให้แล้วด้วย พกติดตัวไว้จะได้ ปลอดภัย"
" แล้วก็เวลา ที่นุ้ยเห็นมัน จะได้นึกถึงตอนที่เรามาปายด้วยกันไง "  ผมบอกเธอ

" ขอบคุณนะ " นุ้ยบอกผม เธออมยิ้มเล็กๆ   ผมรักเธอจัง >////<

" ฝากคิดถึงมีนเวลา มองมันด้วยหละ "  ผมบอกเธอ แต่ไม่ได้เหลือบมองหน้าหรอกนะ ~

" อื้มม... แล้วจะคิดถึง "  นุ้ยยิ้ม รับคำ  แล้วเดินนำหน้าไปที่รถมอเตอร์ไซต์

  เราออกจากวัดน้ำฮู  เพื่อมุ่งหน้าไปที่ตัวเมืองปาย หาอะไรสนุกๆ ทำ ตอนเที่ยงๆแบบนี้ ไม่รู้ว่าปายจะมีอะไรให้เราไปซนได้บ้าง  แต่ที่รู้แน่ๆ คือตอนนี้ผมมีความสุขมาก ที่เธอกอดผมด้วยมือทั้ง 2 ข้าง และทิ้งตัวลงมาที่แผ่นหลังของผม  <3 ~




รูปโครตไม่เกี่ยว อย่าถือนะ - -
...........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น